หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดที่ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพ

ผู้ใช้แอปบางรายเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เป็นช่วงๆ หรือมีขีดจำกัดด้านปริมาณข้อมูลที่ดาวน์โหลดลงในอุปกรณ์ได้ คุณสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้โต้ตอบกับแอปบ่อยขึ้นได้ด้วยการลดปริมาณข้อมูลที่แอปต้องดาวน์โหลด

วิธีพื้นฐานที่สุดในการลดจำนวนรายการที่ดาวน์โหลดคือดาวน์โหลดเฉพาะสิ่งที่ต้องการ ในแง่ของข้อมูล การดำเนินการนี้หมายถึงการใช้ REST API ที่ให้คุณระบุเกณฑ์การค้นหาที่จำกัดข้อมูลที่แสดงผลได้โดยใช้พารามิเตอร์ เช่น เวลาอัปเดตล่าสุด

ในทํานองเดียวกัน เมื่อดาวน์โหลดรูปภาพ แนวทางปฏิบัติแนะนำคือการลดขนาดรูปภาพฝั่งเซิร์ฟเวอร์ แทนการดาวน์โหลดรูปภาพขนาดเต็มซึ่งจะลดขนาดในฝั่งไคลเอ็นต์

แคชการตอบกลับ HTTP

อีกเทคนิคสําคัญคือการหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดข้อมูลที่ซ้ำกัน คุณลดความเป็นไปได้ในการดาวน์โหลดข้อมูลเดิมซ้ำๆ ได้โดยใช้แคช การแคชข้อมูลและทรัพยากรของแอปจะสร้างสําเนาข้อมูลในเครื่องของแอปที่ต้องใช้อ้างอิง หากแอปของคุณจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลเดียวกันหลายครั้งในระยะเวลาสั้นๆ คุณจะต้องดาวน์โหลดข้อมูลดังกล่าวลงในแคชเพียงครั้งเดียว

คุณควรแคชให้มากที่สุดเพื่อลดปริมาณข้อมูลทั้งหมดที่ดาวน์โหลด แคชทรัพยากรแบบคงที่เสมอ รวมถึงการดาวน์โหลดแบบออนดีมานด์ เช่น รูปภาพขนาดเต็ม นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทรัพยากรแบบออนดีมานด์ควรจัดเก็บแยกต่างหากเพื่อให้คุณล้างแคชแบบออนดีมานด์เป็นประจำเพื่อจัดการขนาดของแคชได้

ใช้รหัสสถานะและส่วนหัว HTTP ที่เหมาะสมเพื่อให้แน่ใจว่าการแคชจะไม่ทําให้แอปแสดงข้อมูลที่ล้าสมัย เช่น ส่วนหัว ETag และ Last-Modified ซึ่งจะช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าควรรีเฟรชเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเมื่อใด เช่น

Kotlin

// url represents the website containing the content to place into the cache.
val conn: HttpsURLConnection = url.openConnection() as HttpsURLConnection
val currentTime: Long = System.currentTimeMillis()
val lastModified: Long = conn.getHeaderFieldDate("Last-Modified", currentTime)

// lastUpdateTime represents when the cache was last updated.
if (lastModified < lastUpdateTime) {
    // Skip update
} else {
    // Parse update
    lastUpdateTime = lastModified
}

Java

// url represents the website containing the content to place into the cache.
HttpsURLConnection conn = (HttpsURLConnection) url.openConnection();
long currentTime = System.currentTimeMillis();
long lastModified = conn.getHeaderFieldDate("Last-Modified", currentTime);

// lastUpdateTime represents when the cache was last updated.
if (lastModified < lastUpdateTime) {
    // Skip update
} else {
    // Parse update
    lastUpdateTime = lastModified;
}

คุณสามารถกําหนดค่าไลบรารีการทํางานของเครือข่ายบางรายการให้ใช้รหัสสถานะและส่วนหัวเหล่านี้โดยอัตโนมัติ เช่น เมื่อใช้ OkHttp การกําหนดค่าไดเรกทอรีแคชและขนาดแคชสําหรับไคลเอ็นต์จะช่วยให้คลังใช้แคช HTTP ได้ ดังที่แสดงในตัวอย่างโค้ดต่อไปนี้

Kotlin

val cacheDir = Context.getCacheDir()
val cacheSize = 10L * 1024L * 1024L // 10 MiB
val client: OkHttpClient = OkHttpClient.Builder()
    .cache(Cache(cacheDir, cacheSize))
    .build()

Java

File cacheDir = Context.getCacheDir();
long cacheSize = 10L * 1024L * 1024L; // 10 MiB
OkHttpClient client = new OkHttpClient.Builder()
    .cache(new Cache(cacheDir, cacheSize))
    .build();

เมื่อกำหนดค่าแคชแล้ว คุณจะแสดงคำขอ HTTP ที่แคชไว้ทั้งหมดได้โดยตรงจากพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่อง ซึ่งจะช่วยลดความจำเป็นในการเปิดการเชื่อมต่อเครือข่าย การตอบกลับที่แคชไว้แบบมีเงื่อนไขจะตรวจสอบความใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนแบนด์วิดท์ที่เชื่อมโยงกับการดาวน์โหลด ระบบจะจัดเก็บการตอบกลับที่ไม่ได้แคชไว้ในแคชการตอบกลับสําหรับคําขอในอนาคต

คุณสามารถแคชข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนในไดเรกทอรีแคชภายนอกที่ไม่มีการจัดการได้โดยใช้ Context.getExternalCacheDir() หรือจะแคชข้อมูลในแคชแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยซึ่งมีการจัดการก็ได้โดยการใช้ Context.getCacheDir() โปรดทราบว่าระบบอาจล้างแคชภายในนี้เมื่อพื้นที่เก็บข้อมูลเหลือน้อย

ใช้ที่เก็บ

หากต้องการใช้แนวทางที่ล้ำสมัยมากขึ้นในการแคช ให้ลองใช้รูปแบบการออกแบบที่เก็บ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างคลาสที่กําหนดเองหรือที่เรียกว่าที่เก็บ ซึ่งจะให้บริการ API นามธรรมสําหรับข้อมูลหรือทรัพยากรที่เฉพาะเจาะจง รีพอซิทรีอาจดึงข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆ เช่น เว็บเซอร์วิสระยะไกล ในตอนแรก แต่จะให้ข้อมูลเวอร์ชันแคชแก่ผู้เรียกใช้ในการเรียกใช้ครั้งต่อๆ ไป เลเยอร์การสื่อกลางนี้ช่วยให้คุณระบุกลยุทธ์การแคชที่มีประสิทธิภาพซึ่งเจาะจงสำหรับแอปของคุณได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้รูปแบบรีพอสิทรีในแอปได้ที่คู่มือเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมแอป